วันศุกร์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2558

เอกนาม - พหุนาม-การแยกตัวประกอบของพหุนาม

เอกนาม

     เอกนาม   คือ   จำนวนที่เขียนในรูปการคูณของค่าคงที่กับตัวแปรตั้งแต่ 1 ตัวขึ้นไป    โดยที่เลขชี้กำลังของตัวแปรแต่ละตัว  เป็น ศูนย์หรือจำนวนเต็มบวก
http://www.bs.ac.th/studentweb/math/image/bullet2.gif
  จำนวนที่เป็นเอกนาม เช่น 5X3Y , 3-2AB , ab2c3 , 7
http://www.bs.ac.th/studentweb/math/image/bullet2.gif
  จำนวนที่ไม่ใช่เอกนาม เช่น 4X-3Y , n + 6 , 2a/3b

ดังนั้น เอกนามมี 2 ส่วน คือ
1.     ค่าคงที่ เรียกว่า สัมประสิทธิ์ของเอกนาม 

2.    ส่วนที่อยู่ในรูปการคูณของตัวแปร    

โดยเลขชี้กำลังของตัวแปร แต่ละตัวเป็นศูนย์ หรือจำนวนเต็มบวก

เรียกผลบวกของเลขชี้กำลัง   ของตัวแปรทั้งหมดในเอกนามว่า   ดีกรีของเอกนาม
 เช่น  78X2Y3Z ดีกรี   คือ 6 ( เลขชี้กำลังของ X คือ 2 , Y คือ 3 , Z คือ 1 ) และสัมประสิทธิ์คือ 78

        แต่เอกนาม 0 จะบอกได้ไม่แน่นอน เนื่องจาก 0 = 0Xn โดยที่ X ไม่เท่ากับศูนย์ และ n เป็นจำนวนเต็มบวกหรือศูนย์ ดังนั้น ไม่กล่าวถึงดีกรีของ 0


 การบวก-ลบ เอกนาม
    
เอกนามที่คล้ายกันสามารถนำมาบวกลบกันได้โดยสมบัติแจกแจง ดังนี้

http://www.bs.ac.th/studentweb/math/image/bullet2.gif
  3XY4 + 7XY4  =  (3+7)XY4      ผลบวกของเอกนามคล้ายเท่ากับ (ผลบวกของสัมประสิทธิ์)ตัวแปรชุดเดิม
http://www.bs.ac.th/studentweb/math/image/bullet2.gif
   3XY4 - 7XY4  =  (3-7)XY4     ผลลบของเอกนามคล้ายเท่ากับ    (ผลลบของสัมประสิทธิ์)  ตัวแปรชุดเดิม

กรณีที่เอกนามไม่คล้ายกันให้เขียนผลบวกในรูปเดิม

เช่น 7X4Y + 7XY4   ผลลัพธ์คือ    7X4Y + 7XY4


การแยกตัวประกอบของพหุนาม












http://www.myfirstbrain.com/student_view.aspx?ID=83868


การแยกตัวประกอบพหุนามดีกรีสอง ในรูปผลต่างกำลังสอง A2 - B2 = (A – B) (A + B)










http://www.myfirstbrain.com/student_view.aspx?ID=83866





การแยกตัวประกอบ



ข้อมูลจากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี



 พหุนาม  x2 + cx + d เมื่อ a + b = c และab = d 
สามารถแยกตัวประกอบให้เป็น (x + a)(x + b)
การแยกตัวประกอบ (อังกฤษfactorization) ในทางคณิตศาสตร์     หมายถึง      การแบ่งย่อยวัตถุทางคณิตศาสตร์ (เช่น จำนวน พหุนาม หรือเมทริกซ์
ให้อยู่ในรูปผลคูณของวัตถุอื่น ซึ่งเมื่อคูณตัวประกอบเหล่านั้นเข้าด้วยกันจะได้ผลลัพธ์ดังเดิม
 ตัวอย่างเช่น จำนวน 15 สามารถแยกตัวประกอบให้เป็นจำนวนเฉพาะได้เป็น 3 × 5 
และพหุนาม x^2-4 สามารถแยกได้เป็น  (x-2) (x+2)    เป็นต้น


จุดมุ่งหมายของการแยกตัวประกอบ  คือ  การลดทอนวัตถุให้เล็กลง 
อาทิ จากจำนวน  ไปเป็น  จำนวนเฉพาะ 
จากพหุนาม  ไปเป็น  พหุนามลดทอนไม่ได้ (irreducible polynomial) 

การแยกตัวประกอบจำนวนเต็มเป็นส่วนหนึ่งของทฤษฎีบทมูลฐานของเลขคณิต 

ส่วนการแยกตัวประกอบพหุนามเป็นส่วนหนึ่งของทฤษฎีบทมูลฐานของพีชคณิต 

สำหรับพหุนาม สิ่งที่ตรงข้ามกับการแยกตัวประกอบ  คือ  การกระจายพหุนาม (polynomial expansion) ซึ่งเป็นการคูณตัวประกอบทุกตัวเข้าด้วยกันเป็นพหุนามใหม่





การแยกตัวประกอบพหุนามกำลังสอง

พหุนามกำลังสองใดๆ บนจำนวนเชิงซ้อน (คือพหุนามที่อยู่ในรูป ax^2+bx+c เมื่อ a,b,c \in \mathbb{C}) สามารถแยกตัวประกอบให้เป็นนิพจน์ที่อยู่ในรูป a (x - \alpha) (x - \beta) \! เมื่อ \alpha และ \beta คือรากของพหุนาม ซึ่งคำนวณได้จากสูตรกำลังสองดังนี้
ax^2 + bx + c = a (x - \alpha) (x - \beta) = a\left (x - \left (\frac{-b + \sqrt{b^2-4ac}}{2a}\right) \right) \left (x - \left (\frac{-b - \sqrt{b^2-4ac}}{2a}\right) \right)

พหุนามที่สามารถแยกได้บนจำนวนเต็ม

บางครั้งพหุนามกำลังสองสามารถแยกออกได้เป็นทวินาม (binomial) สองตัวด้วยสัมประสิทธิ์ที่เป็นจำนวนเต็ม โดยไม่จำเป็นต้องใช้สูตรกำลังสองในการคำนวณ ซึ่งมีประโยชน์สำหรับการหารากของสมการกำลังสอง โดยที่พหุนาม
ax^2+bx+c\!
สามารถแยกได้เป็น
 (mx+p) (nx+q) \!
เมื่อ
mn = a\!

pq = c\!
pn + mq = b\!
จากนั้นจึงให้ทวินามแต่ละตัวเท่ากับศูนย์ แล้วคำนวณหาค่าของ x เพื่อหารากของสมการกำลังสอง

ไตรนามกำลังสองสมบูรณ์


แผนภาพที่พิสูจน์ว่า
(a+b) ² = a²+2ab+b²
พหุนามกำลังสองบางชนิดสามารถแยกตัวประกอบออกได้เป็นทวินามที่เหมือนกัน พหุนามนั้นเรียกว่า ไตรนามกำลังสองสมบูรณ์ หรือเพียงแค่ กำลังสองสมบูรณ์ ซึ่งพหุนามดังกล่าวสามารถแยกได้ดังนี้
a^2 + 2ab + b^2 = (a + b) (a + b) = (a + b) ^2\!
a^2 - 2ab + b^2 = (a - b) (a - b) = (a - b) ^2\!

ผลบวกและผลต่างกำลังสอง

ดูบทความหลักที่: ผลต่างกำลังสอง
การแยกตัวประกอบทางพีชคณิตอีกอย่างหนึ่งเรียกว่า ผลต่างกำลังสอง มีสูตรดังนี้
a^2 - b^2 = (a-b) (a+b) \!
ซึ่งเป็นจริงสำหรับทั้งสองพจน์ ไม่ว่าจำนวนเหล่านั้นจะเป็นกำลังสองสมบูรณ์หรือไม่ ถ้าพจน์ทั้งสองลบกัน ก็ให้แทนด้วยสูตรดังกล่าวได้ทันที แต่ถ้าพจน์ทั้งสองบวกกัน ทวินามที่ได้จากการแยกตัวประกอบจะต้องมีจำนวนจินตภาพเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งแสดงได้ดังนี้
a^2 + b^2 = (a+bi) (a-bi) \!
ตัวอย่างเช่น 4x^2 + 49 สามารถแยกได้เป็น  (2x + 7i) (2x - 7i)  เป็นต้น

การแยกตัวประกอบพหุนามอื่น ๆ[แก้]

ผลบวกและผลต่างกำลังสาม[แก้]

สูตรสำหรับการแยกตัวประกอบของผลบวกและผลต่างกำลังสามเป็นดังนี้ ผลบวกสามารถแยกตัวประกอบเป็น
 a^3 + b^3 = (a + b)(a^2 - ab + b^2)\!
และผลต่างสามารถแยกตัวประกอบเป็น
 a^3 - b^3 = (a - b)(a^2 + ab + b^2)\!
เช่น x3 − 103 (or x3 − 1000) สามารถแยกตัวประกอบเป็น (x − 10)(x2 + 10x + 100)



ศึกษาเพิ่มเติม..







เรื่อง การบวก ลบ เอกนาม และพหุนามและคูณหาร ค่าคงที่กับเอกนามและพหุนาม
ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง   1.  สามารถบวกลบเอกนามได้
                                        2.  สามารถคูณ  หาร  เอกนามได้
                                        3.  สามารถบวกลบพหุนามได้
               
เอกนามคือ นิพจน์ที่สามารถเขียนให้อยู่ในรูปการคูณของค่าคงตัวกับตัวแปร  ตั้งแต่หนึ่งตัว
ขึ้นไปโดยที่เลขชี้กำลังของตัวแปรแต่ละตัวเป็นศูนย์   หรือจำนวนเต็มบวก 
             นิพจน์ต่อไปนี้ทุกพจน์เป็นเอกนาม
                3x , -4x                   , -3x2y            -5,8
                เอกนามประกอบด้วย ส่วน   คือส่วนที่เป็นค่าคงตัวและส่วนที่เป็นตัวแปร    ซึ่งอยู่ในรูป
การคูณค่าคงตัว เรียกส่วนที่เป็นค่าคงตัวว่า   สัมประสิทธิ์ของเอกนาม   เรียกผลบวกของกำลัง
ของตัวแปรว่าดีกรี ของเอกนาม
               
เอกนามที่คล้ายกัน
      เอกนาม เอกนามจะคล้ายกันก็ต่อเมื่อ
1.       เอกนามทั้งสองมีตัวแปรชนิดเดียวกัน
2.       เลขชี้กำลังของตัวแปรตัวเดียวกันในแต่ละเอกนามเท่ากัน
เช่น   8Xy   คล้ายกับ   –5xy                       6x2คล้ายกับ x2y
 
การบวก และการลบเอกนาม
เอกนามจะบวกลบกันได้ก็ต่อเมื่อเป็นเอกนามคล้าย
การบวกเอกนาม ผลบวกของเอกนามที่คล้ายกันคือเอาสัมประสิทธิ์บวกกัน ส่วนที่เป็นตัวแปรคงเดิม
                       เช่น  3x + 6X                =             9X
                                   +8x + 3X           =             11x
                                   3x2y + 5x2y        =             8x2y
การลบเอกนามทำเหมือนการบวก
                                   -6x + 8x             =             2X
                                   -3x – 5X             =             -8x

พหุนามคือ   นิพจน์ที่อยู่ในรูปเอกนามหรือรูปผลบวกหรือผลลบของเอกนาม   ตั้งแต่ เอกนามขึ้นไปเช่น 
5x3 + 4x2 – 7X + 1         เป็นพหุนาม     ที่มี พจน์
              3x2  +  1                          เป็นพหุนาม     ที่มี 2  พจน์
         
การบวกและการลบพหุนามทำได้โดยตั้งบวกกันธรรมดา  เรียงลำดับพจน์ที่มีเลขชี้กำลังมาก
  ไปหาพจน์ทีมีเลขชี้กำลังน้อย  แล้วจึงบวกลบที่มีตัวแปรเหมือนกัน  และกำลังของตัวแปรเท่ากัน  เช่น
1.  (5x2 + 3x) + ( 6x2  - 4x)                   =  (5x2 + 6x2) + ( 3x + (- 4x)
                                                              =  11 x2  + (-x)
                                                              =  11 x2  - x

2.  (3x2  - 1) -  (2 x2 + 3x)                      =  (3 x2 – 2x2) - 1 - (3x)
                                                              =  x2 – 3x  - 1

การคูณเอกนามหรือพหุนามด้วยค่าคงที่   
การคูณหรือหารเอกนามด้วยค่าคงที่    ให้นำค่าคงที่คูณกันได้เลย  ส่วนตัวแปรเหมือนเดิม
         - 3  ( 4x)                                       =  -12 x
          8 (-6x)                                         =  -48 x
          -2  ( -3 x)                                    =  + 6x

การคูณค่าคงที่กับพหุนาม  ให้นำค่าคงที่คูณพหุนามทุกพจน์  เช่น
         3 (4x + 8)                                     =  12x  + 24
         -4  (x – 5)                                     = - 4x +20

ตัวประกอบของพหุนามมีอยู่ทั้งหมด 8 รูปแบบด้วยกัน ซึ่งแต่ละรูปแบบก็จะมีวิธีในการแยกตัวประกอบที่คล้ายกันบ้าง ไม่คล้ายกันบ้าง แล้วแต่วิธี ส่วนรูปแบบต่างๆจะมีลักษณะดังนี้

การแยกตัวประกอบของพหุนามทั้ง 8 รูปแบบ

รูปแบบที่1: สมบัติการแจกแจง

หรือการดึงตัวร่วมออกมา เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการแยกตัวประกอบของพหุนาม 
ab + ac = a(b+c)
ตัวอย่าง: 3x2 + 6x = 3x(x+2)

รูปแบบที่2: พหุนามสองวงเล็บ

คือการแยกตัวประกอบออกมาเป็นสองวงเล็บที่คูณกันอยู่ พหุนามแบบสองวงเล็บนี้จะมีตั้งแต่ง่ายไปจนถึงยาก
x2 + 9x + 14 =0
ตัวอย่าง:  (x+2) ( x+7) =0

รูปแบบที่3: พหุนามผลต่างกำลังสอง

รูปแบบนี้จะดูได้ง่ายมาก และสามารถใช้สูตรเพียงสูตรเดียวในการแยกตัวประกอบออกมาได้เลย
หน้า2 – หลัง2 = (หน้า-หลัง) (หน้า+หลัง)
ตัวอย่าง: x2 – 42 = 0

รูปแบบที่4: พหุนามกำลังสองสมบูรณ์

มีอยู่สองรูปแบบย่อยที่ต่างกันเพียงเครื่องหมาย +- ที่เดียวเท่านั้น ใช้สูตรในการแยกตัวประกอบ
2 + 2นล + ล2 = (น+ล) (น+ล) = (น+ล)2
2 – 2นล + ล2 = (น-ล) (น-ล) = (น-ล)2

รูปแบบที่5: พหุนาม แบบเพิ่มเข้า ลบออก

ใช้ในการแก้สมการพหุนามที่ไม่สามารถแก้ได้ในตอนแรก เราจะใช้หลักการใส่ตัวแปรเพิ่มเข้าไป หรือลบตัวแปรออกมา ทำให้สมการพหุนามใหม่มีรูปแบบที่ตรงกับรูปแบบอื่นและสามารถแยกตัวประกอบได้

รูปแบบที่6: พหุนาม ผลบวกและผลต่างกำลังสาม

มีอยู่สองรูปแบบที่ต่างกันที่เครื่องหมาย +- แต่เมื่อแยกตัวประกอบออกมาแล้ว สมการจะยาวหน่อยนึง
3 + ล3 = (น + ล) (น2 – นล + ล2)

3 – ล3 = (น – ล) (น2 + นล + ล2)

รูปแบบที่7: พหุนามแบบจับคู่

ใช้ความรู้จากรูปแบบที่ 1 มาช่วย โดยเริ่มจากการจับคู่ให้พหุนามก่อน บางครั้งต้องเรียงตำแหน่งใหม่ด้วย
ac + bc + ad + bd = (ac + bc) + (ad + bd) = c(a+b) + d(a+b) = (a+b) (c+d)

รูปแบบที่8: การหารสังเคราะห์

รูปแบบสุดท้ายที่สามารถแก้สมการพหุนามได้แทบจะทุกรูปแบบ แต่ว่าต้องแลกกับวิธีการทำที่ค่อยข้างยากและยาวเอาเรื่อง ส่วนใหญ่หลายคนทำผิดเพราะว่าบวกลบเลขผิดในขั้นตอนตรงกลาง การหารสังเคราะห์นี้สามารถใช้แก้สมการพหุนามดีกรีสูงๆตั้งแต่ x4 x3 ได้หมดเลย

รูปแบบที่1: สมบัติการแจกแจง

   


รูปแบบที่2: พหุนามสองวงเล็บ



รูปแบบที่3: พหุนามผลต่างกำลังสอง

รูปแบบที่4: พหุนามกำลังสองสมบูรณ์



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น